เมื่อความสุขหายไป

นี่เราใกล้ตายแล้วหรอ ความคิดนี้ผุดขึ้นมาเมื่อตุลาคมปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่จะได้ใช้จักรยานทำประโยชน์ ปั่นจักรยานไปเป็นอาสาที่สนามหลวง และแล้วตื่นมาในเช้าวันที่ 14 ต้นแขนก็ไร้ความรู้สึก ทดลองเอาปากกาจิ้มๆ ขีดเขียน ก็ไม่รับรู้ !


นี่แขนฉันหายไปแล้วหรอ ก็คิดว่าเดี๋ยวคงหายดี อาการก็ไม่มีที่ท่าชาลดลง เลยรีบไปหาหมอ ก็ได้ยามากินแก้อักเสบ และ คลายเส้น 1 สัปดาห์ผ่านไปอาการก็ไม่ลดลง จุดที่ชาขยายวงกว้างขึ้นจากต้นแขนมาถึงข้อศอก เปลี่ยนไปหาหมออีกที่ หมอก็จัดวิตตามิน B มาให้บอกว่าน่าจะเป็นปลายประสาทอักเสบ กินวิตตามินแล้วจะดีขึ้นแต่ต้องใช้เวลานะ

1 เดือนผ่านไปวิตตามินก็กินแต่ทำไมแขนชา 1 ข้าง เป็น ชา 2 ข้าง คนละตำแหน่งกันด้วย อาการเริ่มรุนแรงจากความรู้สึกสัมผัสตอนปั่นพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบสะเทือนถึงแขน เจ็บใช้ได้เลยแต่ก็อดทนไว้เพราะอยากปั่น เปลี่ยนไปหาหมอเฉพาะทางด้านประสาทเฉพาะทาง หมอก็จัดยาให้อีกชุดใหญ่ และบอกว่าต้องทำการ tc scan ซึ่งค่าใช้จ่ายก็สูงหลายหมื่น

เวลานั้นรู้สึกจิตใจย่ำแย่มาก แบบว่าพยายามดูแลออกกำลังกายตลอดไม่ให้ป่วย แต่มาเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่หาสาเหตุไม่เจอ และตลอดมาก็ไม่คิดกินยาพยามยามดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ แต่นี่ต้องกินยาเยอะมากๆ รับตัวเองไม่ได้ หาข้อมูลมากมายที่จะเลิกกินยา เปลี่ยนมาปรึกษาหมอด้านกายภาพ อาการชาที่ไหล่หนักขึ้นเป็นเจ็บเหมือนเข็มทิ่ม แค่ลมพัดโดนแขนก็แสบเหมือนโดนลวก มองจากภายนอกแขนก็ปกติ หมอบอกว่าเพราะใช้ computer มากเกินไป ก็งงว่าไม่ได้ทำงานมา 5 ปีแล้วนะ ปั่นแต่จักรยานอย่างเดียว นั่นละอาการมันเพิ่งออก


ที่แย่สุดๆ คิอ ปั่นจักรยานไม่ได้เลย เปลี่ยนท่าปั่นเปลี่ยนคันปั่นก็ยังเจ็บ โหดร้ายมากๆ ต้องเปลี่ยนวิธีเดินทางเป็นขึ้นรถเมล์ รถไฟ เพื่อไปหาหมอ จากหัวลำโพงมาถึงพัฒนาการทุกวัน เพื่อทำกายภาพ พอรู้สึกดีขึ้นอาการชาลดลงก็เว้นจำนวนวันไปหา เป็นวันเว้นวัน วันเว้นสองวัน อาทิตย์ละวัน สองอาทิตย์วัน เดือนละวัน ก็ยังไม่หายสนิท แต่เริ่มกลับมาปั่นจักรยานได้

กายป่วยใจก็ป่วยตาม 5 เดือนผ่านมาแล้ว ทำไมมันยังไม่หายอีก พอหมอให้หยุดกายภาพอาการก็กลับมาอีก จิตใจนี่นอยไปคิดว่าระยะเวลาบนโลกนี่ของเราใกล้สิ้นสุด ต้องหาหมอตลอดจะไปเที่ยวผ่อนคลายร่างกายก็ไม่พร้อม นึกขึ้นได้ว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งน่าจะช่วยได้ รีบติดต่อไปเย็นวันนั้น วันรุ่งขึ้นก็ไปเรียน เพราะเป็นอีกสิ่งที่อยู่ในรายการที่อยากทำ

เช้าวันนั้นลงใต้ดิน MRT ต่อรถเมล์ แล้วต่อพี่วิน มาถึง “บ้านพินทุ” บทที่หนึ่งที่เรียนไปเนื้อหาไม่เยอะเท่าไร แต่ปัญหาที่มีกับร่างกายและหลายเรื่องที่เจอมาคุยปรึกษากับครู ตามกำหนดในตารางเรียนแค่ 1 ชม. มองนาฬิกาอีกที 3 ชม. แล้วผ่านไปเร็วมาก แค่บทที่หนึ่งรู้สึกจิตใจดีขึ้นมาก ความกังวลลดลงไป ความกลัวตายหายปิดทิ้ง ติดใจในความรู้ก็บอกครูว่าจะมาเรียนอีกพรุ่งนี้เลย ยิ่งเรียนยิ่งรู้จักตัวเองมากขึ้นเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากขึ้นทั้งอาการที่ป่วย ยังคงไปหาหมอควบคู่กับการเรียน


บทเรียนสอนให้เราไม่กลัวด้วยนะ หลายที่ปั่นมุดเป็นชุมชน หลายคนก็เตือนว่าอันตรายไม่ควรไป พอได้รับความรู้ก็เข้าใจ และกล้าไปเหมือนเดิม ใจรู้สึกแข็งแรงขึ้นแขนก็ยังชาแต่ก็กลับมาปั่นจักรยานได้ ด้วยวิธีที่ครูแนะนำ ไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับจุดที่ร่ายกายมีปัญหา เปลี่ยนสำนึกตัวเองเป็นดวงวิญญาณที่เป็นอมตะ


ยิ่งเรียนยิ่งสนุก ต่างจากที่เคยเป็นนักเรียนในเครื่องแบบมากๆ เรียนลงลึกด้านจิตวิญญาณพัฒนาตัวเอง ถึงวันนี้เกือบ 8 เดือนแล้ว มีความสุขดีทั้งกายและใจ ที่นี่สอนให้คิดแต่สิ่งดีๆ มองมุมให้ลบเป็นบวก ดึงความสามารถที่เราไม่รู้ว่าทำได้ออกมาได้ ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น นิ่งขึ้นกับสิ่งที่เข้ามากระทบ ถ้าชอบอ่านหนังสือแนวจิตวิทยาพัฒนาตนเอง ที่นี่ใช่เลย มีกิจกรรมให้ทำแบบไม่ต้องอ่านหนังสือท่องทำแต่จะเข้าใจได้อย่าลึกซึ้ง


ถ้ามีความรู้สึก/คำถามเหล่านี้ ลองแวะมาหาครูที่นี่สิ ช่วยได้ดีเลย

– ยิ่งอายุมากขึ้น ทำไมความสุขน้อยลงทุกวัน

– เบื่อมาก ซึมเศร้า อยากตาย

– อกหัก แฟนทิ้ง เหงา ทำไมถึงเจอแต่คนแบบนี้นะ

– เครียด หงุดหงิด ขี้โวยวาย ฯลฯ


ที่นี่ไม่เก็บค่าใช้จ่ายในการเรียนสักบาทเลยนะ เลือกเวลาเรียนได้ วันไหน เวลาไหนก็ได้ บทเรียนพื้นฐานมีแค่ 7 บท จะเรียนเดือนละบทก็ตามสะดวก เป็นมหาวิทยาลัยด้านจิตวิญญาณจากประเทศอินเดีย มีสาขาอยู่ทั่วโลก ส่วนสาขาของกรุงเทพอยู่ใกล้เลียบด่วนนี่เอง ประดิษฐมนูธรรม ซ.10 สอบถามเพิ่มเติม /นัดเรียน ได้ที่ http://www.brahmakumaris.or.th/about-us/รู้จักบ้านพินทุ.html


แล้วจะรู้ว่า ความสุข ความสงบ ความรัก ที่แท้จริงคืออะไร ไม่มีใครเอาไปจากเราได้เลยจริงๆนะ ^^