ธารโต-อัยเยอร์เวง

ทีมงานแจ้งว่าเส้นทางก่อนจะถึงอัยเยอร์เวงที่เปิดดูในแผนที่คดเคี้ยวดังงูเลื้อย ชวนเมา ถ้านั่งรถคงสลบหลับไม่ได้มองวิวข้างทางแน่ๆ แต่วันนี้เราปั่นจักรยานมา ทางเลี้ยวคดและลงเนินแบบนี้ สนุกสิ ลงมาแล้วอยากขนจักรยานใส่รถวนอีกรอบ 

เคยชอบหลงรักเส้นทางเลาะริมฝั่งโขง มาวันนี้เจอที่นี่แอบปันใจ ยกให้เป็นเส้นทางที่นักปั่นต้องมาเยือน ข้างๆไม่ได้เป็นภูเขาหินแบบเลียบโขง แต่เป็นภูเขาใบไม้เปลี่ยนสี อีกข้างบางช่วงเห็นแม่น้ำปัตตานี ยืนยันอีกทีที่นี่เมืองไทย ว้าวๆ ปั่นแล้วชุ่มชื่นปอด สูดอากาศเฮือกใหญ่ คนอยู่แถวนี้สุขภาพดีไม่แปลกใจ มีลำธารน้ำใสให้ว่ายเล่น มีถ้ำเย็นๆให้หลบยามร้อน ช่วงใบไม้ร่วงนี่สวยสุดๆ

จนต้องหยิบมือถือออกเก็บภาพ ที่ชอบและกินหลายถุงมาก แอบตุนอีก 2 ด้วยนะ กล้วยหินฉาบ จำได้ตอนไปเดินในงานแสดงสินค้าของดีนี่ราคาสูงกว่ากล้วยฉาบทั่วไปมากนะ แต่ที่นี่จะว่าถูกกว่าก็ใช่เลย หนึ่งในสมาชิกปั่น น้องพน คุณแม่ของน้องเป็นคนคิดสูตร ทุกวันนี้ก็ขายส่งทั่วไทย ใครอยากสั่งก็บอกได้ แล้วจะตกใจขายราคานี้มีกำไรเหลือไหม กล้วยหิน ที่นี่เอาไว้เลี้ยงนก คนปลูกกันเยอะ เอามาต้มก็อร่อยนะ แต่แปรรูปก็อยู่ได้นานหน่อย มีหลายยี่ห้อ หลายสูตร ทั้งหวานและเค็ม เลือกได้ตามชอบ

จอดๆ ปั่นไปแล้วต้องจอด ไม่ได้ยางรั่วนะ แต่เป็นเพราะวิว สะพานพาดผ่านสายน้ำท่ามกลางความเขียวของภูเขา ในที่สุดก็มาถึงอัยเยอร์เวง

เช้าวันใหม่ที่ปกติยากจะตื่น ว้าวๆ สวยจังเลย คุ้มค่าการตื่นตี 3 ขึ้นมาถึงยอดเขาตี 4 อากาศเย็นๆ ไม่ถึงกับหนาว สักพักใหญ่เริ่มเห็นไฟสว่างเป็นจุดๆเมื่อก้มหน้ามองลงไป ไฟบ้านคนนี่เอง ตื่นกันเช้ามากๆ พอตี 5 พระอาทิตย์เริ่มขึ้นจากขอบฟ้า ภาพหมอกด้านหน้าเริ่มเห็นชัดเจน เปลี่ยนความมืดของทองฟ้าเป็นสีแดงอมส้ม อากาศค่อยๆอุ่นขึ้น นักท่องเที่ยวที่มาชมทะเลหมอกเริ่มมากขึ้น ทำเลดีๆริมขอบถูกจับจอง ปีนขึ้นไปยืนด้านบนก็มี เสียงรัวชัตเตอร์ เซลฟี่ วีฟี่ 

ถ่ายจุดสูงสุดแล้วต้องเป็นภาพจุดที่สองจุดที่สามกันต่อ หรือแม้กระทั่งก้อนหิน ป้ายชื่อสถานที่ ยังต้องต่อคิว คนเยอะจริงๆ ถึงขนาดทางขึ้นลงรถติด จอดกันหลายสิบคัน บางครั้งอาจต้องเดินกันหลายร้อยเมตร มีทั้งคนในพื้นที่ นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะมาเลเซียมาเป็นคันรถตู้ บ้างก็บิดมอเตอร์ไซด์มาเอง คึกคักมาก เงินสะพัดสู่ชุมชนคนท้องที่ที่มาขายอาหาร ข้าวยำ โรตี แตออ ชาชัก ที่นั่งถูกจองเต็ม 

หลังชมทะเลหมอกลงมายังมีสะพานไม้ ซ่อนตัวแบบเจ้าถิ่นยังไม่รู้จักทางเข้า สะพานปูแตซู อายุยี่สิบกว่าปี มีหักผุเชือกขาดบ้าง คนพื้นที่ใช้สัญจร ทีแรกคิดว่าไว้เดินได้อย่างเดียวแต่ก็เห็นมอเตอร์ไซด์สวนไปมา ข้างล่างเป็นแม่น้ำสามารถเล่นล่องแก่งด้วยห่วงยาง หรือเรือแคนนู ที่น่าสนใจและอยากไปมากๆ ย้อนทางน้ำขึ้นไปป่า ฮาราบารา ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ต้องไปค้างคืน น้องๆในพื้นที่เล่าว่าสนุกมากๆ น้ำใสมากๆ ย้ำมาว่าพี่ต้องไปให้ได้นะ

นอกจากนี้ยังมีอีก 8 สถานที่เที่ยวในอัยเยอร์เวง ที่เรายังต้องกลับมาเก็บให้ครบ ที่นี่ดูจะเหมาะกับการเที่ยวตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนแนะนำให้เที่ยวชมแสงสีที่เบตง ถ้าปั่นจักรยานก็ใช้พลังเยอะพอสมควร ต้องขึ้นลงเนิน ระยะทาง 30++ กม. ได้ รู้แต่ว่าติดใจต้องกลับมาอีก แล้วไม่ถึง 3 วัน เราก็กลับ

มายืนดูทะเลหมอกที่นี่อีกครั้ง ครั้งที่สองก็ไม่เหมือนครั้งแรก ธรรมชาติไม่มีซ้ำเปลี่ยนตลอด หลงรักทะเลหมอกที่นี่เข้าแล้ว น้องลีบอกว่ามีอีกที่ ฆูนูซีลีปัต ทะเลหมอก 360 องศา แค่นี้ก็รู้แล้วว่าต้องกลับมาที่นี่อีก ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง